วันสารทไทยเผยแพร่เมื่อ: 01 กันยายน 2554 | ฮิต: 3673 วันสารทไทย ความหมาย สารทเป็นการทำบุญกลางปีของไทยตรงกับวันสิ้นเดือน ๑๐ หรือวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งเป็นฤดูที่พืชพันธุ์ธัญชาติและผลไม้สุกข้าวและต้นผลไม้ที่ปลูกไว้กำลังให้ผลเป็นครั้งแรกในฤดูนี้ ความเป็นมา สารทเป็นนักขัตฤกษ์ถือเป็นประเพณีนิยมมาแต่โบราณว่าเทศกาลทำบุญสิ้นเดือน ๑๐ คือ วัน เวลา เดือนและปีที่ผ่านพ้นไปกึ่งปีและโดยที่มนุษยชาติดำรงอยู่ได้ด้วยเกษตรกรรมเป็นหลักสำคัญเมื่อถึงกึ่งปีเป็นฤดูกาลที่ข้าวออกรวงเป็นน้ำนมจึงได้มีกรรมวิธีปรุงแต่งที่เรียกว่า กวนข้าวทิพย์ หรือ ข้าวปายาส ข้าวยาคูและขนมชนิดหนึ่งเรียกว่ากระยาสารทแล้วประกอบการบำเพ็ญกุศลถวายพระสงฆ์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนาทั้งอุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนผู้มีพระคุณและแจกสมนาคุณญาติมิตรตามคติที่ชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชนแม้จะเป็นประเพณีที่มีส่วนมาจากลัทธิพราหมณ์ชาวไทยก็นิยมรับเพราะเป็นประเพณีในส่วนที่มีคุณธรรมอันดีพึงยึดถือปฏิบัติพิธีสารทนอกจากเป็นประเพณีของชนชาวไทยทั่วไปแล้วในส่วนของพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่าพิธีของหลวงนั้นในสมัยสุโขทัยมีในตำนานนางนพมาศว่า"...ราชบุรุษชาวพนักงานตกแต่งโรงพิธีในพระราชนิเวศน์ตั้งก้อนเส้าเตาเพลิงแลสัมภาระเครื่องใช้เบ็ดเสร็จนายนักการระหารหลวงก็เก็บเกี่ยวครรภสาลีและรวงข้าวมาตากตำเป็นข้าวเม่าข้าวตอกส่งต่อมณเฑียรวังเวรเครื่องนายพระโคก็รีดน้ำขีรารสมาส่งดุจเดียวกันครั้งได้ฤกษ์รับสั่งให้จ่าชาวเวรเครื่องทั้งมวลตกแต่งปรุงมธุปายาสปรุงปนระดมเจือล้วนแต่โอชารส มีขัณฑสกร น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล นมสดเป็นต้นใส่ลงในภาชนะซึ่งตั้งบนเตาเพลิงจึงให้สาวสำอางกวนมธุปายาสโดยสังเขปชาวดุริยางค์ดนตรีก็ประโคมพิณพาทย์ฆ้องกลอง เล่นการมหรสพระเบงระบำล้วนแต่นารีแล้วพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยราชบริพารนำข้าวปายาสไปถวายพระมหาเถรานุเถระ"ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้สืบประเพณีพระราชพิธีสารทมาจัดทำเช่น ในรัชกาลที่ ๑ มีพระราชพิธีสารทกวนข้าวทิพย์ รัชกาลต่อมาได้ทำบ้างงดบ้างจนถึงปีพุทธศักราช ๒๔๗๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสารทมีกำหนดการดังนี้ เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) เสนาบดีกระทรวงวังรับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่าราชประเพณีแต่ก่อนมาถึงเวลากลางปีเคยมีการพระราชพิธีสารทกวนข้าวทิพย์ปายาสทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายยาคูแด่พระสงฆ์ด้วยว่าประจวบฤดูข้าวในนาแรกออกรวงเป็นกษีรรสพอจะเริ่มบริจาคเป็นทานถวายแด่ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้เรียกว่าสาลีคัพภทานแต่เว้นว่างมิได้กระทำมาเสียนานมีพระราชประสงค์ที่จะทรงกระทำในปีนี้จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีสารทในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแต่งสาวพรหมจารีราชอนุวงศ์ให้กวนข้าวทิพย์ปายาส แลแผ่พระราชกุศลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าฝ่ายในให้รับรวงข้าวอ่อนไปแต่งเป็นยาคูบรรจุโถทำด้วยฟักเหลืองประดับประดาอย่างวิจิตรพึงชมถวายโดยเสด็จในการพระราชกุศลพิธีสารท มีกำหนดการดังนี้ วันที่ ๒๕ กันยายนซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ เดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำปีเถาะเจ้าพนักงานจะได้แต่งการในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเชิญพระพุทธรูปชัยวัฒน์ทั้ง๗รัชกาลแลพระสุพรรณบัฏ พระมหาสังข์พระเต้าน้ำพระพุทธมนต์ ทั้งพระแสงราชาวุธจัดตั้งไว้บนพระแท่นเศวตฉัตรตั้งโต๊ะจีนสองข้างประดิษฐานพระพุทธรูปนิรันตรายบนโต๊ะข้างตะวันออกประดิษฐานรูปพระสยามเทวาธิราชบนโต๊ะข้างตะวันตกตั้งเครื่องนมัสการสรรพสิ่งทั้งปวงสำหรับพระราชพิธีพร้อมกับทั้งตกแต่งโรงพระราชพิธีที่กวนข้าวทิพย์ปายาส ณ สวนศิวาลัยแลแต่งหอเวทวิทยาคมพราหมณ์เข้าพิธีเสร็จสรรพเวลา ๕.๐๐ ล.ท.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนินเข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทรงจุดเทียนนมัสการทรงศีลอาลักษณ์อ่านประกาศพระราชพิธีสารทเมื่ออาลักษณ์อ่านประกาศจบพระสงฆ์๓๐รูปสวดพระพุทธมนต์สาวพรหมจารีราชอนุวงศ์ซึ่งจะกวนข้าวทิพย์ปายาสฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ในพระสูตรครั้นสวดจบสมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอดิเรกถวายพระพรลาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ทรงเจิมพระราชทานสาวพรหมจารีแล้วท้าวนางนำไปสู่โรงพระราชพิธี ณสวนศิวาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปเข้าโรงพระราชพิธีทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ลงในกะทะแลทรงเจิมพายแล้วทรงรินน้ำพระพุทธมนต์ในพระเต้าลงกะทะโดยลำดับโปรดเกล้าฯให้หม่อมเจ้าน้อยฯนำเครื่องปรุงอเนกรสหยอดตามเสด็จไปเจ้าพนักงานเทถุงเครื่องกวนลงในกะทะสาวพรหมจารีกวนข้าวทิพย์ปายาส เจ้าพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร เครื่องดุริยางค์พราหมณ์ หลั่งน้ำเทพมนต์ลงทุกกะทะ เพื่อเป็นสวัสดิมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับครั้นกวนข้าวทิพย์ปายาสได้ที่แล้วเจ้าพนักงานบรรจุเตียนนำไปตั้งไว้ในมณฑลพระราชพิธีณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยวันที่ ๒๖ กันยายน ตรงกับวันจันทร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำปีเถาะเวลาเช้าเจ้าพนักงานจะได้รับโถยาคูซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทแต่งมาโดยเสด็จการพระราชกุศลจัดตั้งเรียงไว้ถวายตัวเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทรงจุดเทียนนมัสการทรงศีล พระสงฆ์ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระ-เนตรโถยาคูซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทแต่งมาถวายทรงเลือกปักธงชื่อพระตามพระราชประสงค์จำนงพระราชทานโถไหนแก่รูปไหนแล้วเจ้าพนักงานยกไปตั้งตามที่ทางประเคนภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ครั้นพระสงฆ์ฉันของคาวแล้วโปรดเกล้าฯให้ประเคนของหวานกับทั้งยาคูแลข้าวทิพย์ปายาส ครั้นฉันแล้วทรงประเคนเครื่องไทยธรรมพระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอดิเรกถวายพระพรลาแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ เจ้าพนักงานจำแนกข้าวทิพย์ปายาสพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์กับข้าทูลละอองธุลีพระบาททั่วกันแล้วเป็นเสร็จการพิธีของประชาชนในประเพณีเกี่ยวกับการทำบุญเนื่องในวันสารทไทยซึ่งกำหนดไว้เป็นที่แน่นอนว่า วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังกล่าวมาแล้วนั้นปรากฎว่ามีประเพณีทำบุญทำนองเดียวกันในภาคอื่น ๆด้วยหากแต่กำหนดวันและวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างกันดังนี้ ภาคใต้ มีประเพณีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายญาติพี่น้องและบุคคลอื่นๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว ในเดือน ๑๐ เป็นสองวาระคือ วันแรม ๑ค่ำ เดือน ๑๐ ครั้นหนึ่งและวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ อีกครั้งหนึ่งโดยถือคติว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วโดยเฉพาะผู้ที่ต้องตกนรกหรือเรียกว่าเปรตนั้นจะได้รับอนุญาตให้มาพบกับญาติของตนในเมืองมนุษย์ได้ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐และกลับไปสู่นรกดังเดิม ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังนั้นจึงมีการทำบุญในสองวาระดังกล่าวนี้ แต่ส่วนใหญ่ทำวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐เพราะมีความสำคัญมากกว่า (บางท้องถิ่นทำในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐)ก ารทำบุญของชาวไทยภาคใต้ดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกเป็น ๔ อย่างคือ ๑.ประเพณีทำบุญเดือนสิบ โดยกำหนดเอาเดือนทำบุญเป็นหลัก ๒.ประเพณีทำบุญวันสารทโดยถือหลักของการทำบุญที่มีความสัมพันธ์กับอินเดียเหมือน วันสารทไทยของคนไทยในภาคกลางดังกล่าวมาแล้วบางครั้งก็เรียกว่าประเพณีทำบุญสารทหรือเดือนสิบ ๓. ประเพณีจัดห.ม.รับ (สำรับ) การยกห.ม.รับ และการชิงเปรตคำว่า จัดห.ม.รับ ได้แก่การจัดเสบียงอาหารเป็นสำรับถวายพระภิกษุโดยให้พระภิกษุจับสลากแล้วให้ศิษย์เก็บไว้แล้วนำถวายพระภิกษุเป็นมื้อๆการยกห.ม.รับที่จัดเรียบร้อยแล้วไปวัดพร้อมทั้งภัตตาหารไปถวายพระภิกษุในช่วงเวลาเช้าก่อนเพลจะจัดเป็นขบวนแห่ใหญ่โตก็ได้ บางแห่งแต่งตัวเป็นเปรตเข้าร่วมไปในขบวนด้วยส่วนชิงเปรตหรือตั้งเปรตนั้น เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำบุญ กล่าวคือเมื่อจัดห.ม.รับยกห.ม.รับไปถวายพระภิกษุแล้วจะเอาอาหารที่จัดไว้ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากไปจัดตั้งไว้ให้เปรตโดยมากเป็นอาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือขนม ๕ อย่าง คือ ขนมพองขนมลา ขนมกง ขนมดีซำ และขนมบ้าสถานที่ตั้งอาหาร เป็นร้านสูงพอสมควร เรียกว่า ร้านเปรตหรือหลา (ศาลา) เปรตมีสายสิญจน์วงรอบโดยให้ปลายสายสิญจน์อีกข้างหนึ่งโยงมาสำหรับพระภิกษุชักบังสุกุลซึ่งชาวบ้านจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับพบเก็บสายสิญจน์แล้วก็จะมีการแย่งอาหารและขนมที่ตั้งเปรตไว้นั้นอย่างสนุกสนานเรียกว่าชิงเปรตแล้วนำมากินถือว่าได้กุศลแรงและเป็นสิริมงคลการทำบุญด้วยวิธีตั้งเปรตและชักบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลนี้บางครั้งเรียกว่า การฉลองห.ม.รับและบังสุกุลถือว่าสำคัญเพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย ๔.ประเพณีทำบุญตายายหรือประเพณีรับส่งตายายโดยถือคติว่าญาติที่ล่วงลับไปแล้ว กลับมาเยี่ยมลูกหลานในวันแรม ๑ ค่ำเดือน๑๐และกลับนรกตามเดิมในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐แต่มีบางแห่งถือว่าญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เหล่านี้เป็นตายาย เมื่อท่านมาก็ทำบุญรับเมื่อท่านกลับก็ส่งกลับ จึงเรียกประเพณีดังกล่าวนี้ว่าทำบุญตายายของทำบุญก็เหมือนกับที่กล่าวไว้ในข้อ ๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานมีประเพณีการทำบุญในเดือน ๑๐ เหมือนกัน คือทำในวันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่แบ่งระยะเวลาของประเพณีการทำบุญออกไปเป็น ๒ ระยะดังนี้ ระยะแรกก่อนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวบ้านจะเตรียมข้าวเม่าพองและข้าวตอก (บางแห่งเรียกดอกแตก) ขนมและอาหารหวานคาวอื่น ๆ เพื่อจะทำบุญในวันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ มาถึงโดยเฉพาะ ข้าวเม่าพอง กับข้าวตอกนั้นจะคลุกให้เข้ากันแล้วใส่น้ำอ้อยน้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็นข้าวสากซึ่งตรงกับคนไทยภาคกลางเรียกว่า กระยาสารท เมื่อเตรียมของทำบุญไว้เรียบร้อยก็จะเอาข้าวปลาอาหารไปส่งญาติพี่น้องเพื่อนฝูงถ้าหากบุคคลเหล่านั้นอยู่ห่างไกลก็จะไปค้างคืนนอกจากมอบของแล้วจะถือโอกาสเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขเป็นประเพณีที่เรียกว่าส่งเขาส่งเราผลัดกันไปผลัดกันมาเป็นการแลกเปลี่ยนกันส่วนข้าวสารหรือกระยาสารทนั้นจะส่งก่อนวันทำบุญหรือในวันทำบุญก็ได้เรียกว่า ส่งข้าวสาก ระยะที่สองคือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐เวลาเช้าชาวบ้านไปทำบุญตักบาตรที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้วแต่อาจมีบางคนอยู่วัดรักษาศีล ฟังเทศน์ก็ได้ ครั้นถึงเวลาใกล้เพลก็เตรียมภัตตาหารไปวัดอีกครั้งหนึ่ง มีห่อข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ ข้าวสากและอาหารอื่น ๆ บางแห่งอาจจัดของที่จะถวายเป็นกัณฑ์เทศน์ไปด้วยเมื่อถึงวัดแล้วก็จะจัดภัตตาหารและของพี่จะถวายพระภิกษุถวายเสียก่อน บางแห่งนิยมทำเป็นสลากชาวบ้านคนไหนจับสลากถูกชื่อพระภิกษุรูปใด ก็ถวายรูปนั้นทำนองเดียวกับการทำบุญสลากภัตจึงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจว่าการทำบุญข้าวสากก็คือทำบุญด้วยวิธีถวายตามสลากส่วนห่อข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ชาวบ้านแจกกันเอง ห่อข้าวน้อยนั้น เมื่อแจกแล้วก็แก้ห่อออกกินกันในวัดทีเดียวถือกันว่าเป็นการกินในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนห่อข้าวใหญ่เอากลับไปบ้านเก็บไว้ในเวลาต่อไป เพราะอาหารในห่อนั้นเป็นพวกของแห้ง เช่น ปลาแห้งเนื้อแห้งซึ่งสามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน ๆ ถือคติว่าเอาไปกินในปรโลกประเพณีแจกห่อข้าวน้อยและห่อข่าวใหญ่นี้ ปัจจุบันเกือบไม่มีแล้วจะจัดเพียงภัตตาหารไปถวายพระภิกษุพร้อมด้วยข้าวสากหรือถวายกระยาสารทเท่านั้น สำหรับข้าวสากที่จะนำไปแจกกันเหมือนกระยาสารทของคนไทยภาคกลางนั้นวิธีห่อผิดกับทางภาคกลางเพราะห่อด้วยใบตองกลัดด้วยไม้กลัด หัวท้ายมีรูปลักษณะคล้ายข้าวต้มมัดแต่ตรงปลายทั้งสองข้างที่เรียกว่าสันตองไม่ต้องพับเข้ามา ของที่ใส่ในห่อ มีข้าวต้ม(ข้าวเหมือนแบบข้าวต้มผัด) ข้าวสาก แกงเนื้อ แกงปลา หมาก พลูบุหรี่ห่อแล้วเย็บติดกันเป็นคู่ ๆ เอาไปห้อยไว้ตามต้นไม้ รั้วบ้านเมื่อห้อยไว้แล้วก็ตีกลองหรือโปงเป็นสัญญาณให้เปรตมาเอาไปและปล่อยทิ้งไว้ชั่วพักหนึ่งกะเวลาที่เปรตได้มารับเอาอาหารที่ห้อยไว้นั้นไปแล้วชาวบ้านก็แย่งกันชุลมุน ใครแย่งเก่งก็ได้มากกว่าคนอื่นเรียกว่าแย่งเปรตของที่แย่งเปรตไปได้นี้ ชาวบ้านจะเอาไปไว้ตามไร่นาเพื่อเลี้ยงตาแฮก (ยักษินีหรือเทพารักษ์รักษาไร่นาซึ่งเคยเลี้ยงมาเมื่อตอนเริ่มทำนาในเดือน ๖มาครั้งหนึ่งแล้ว)นอกจากเลี้ยงตาแฮกแล้วก็เอาไปให้เด็กรับประทานเพราะถือว่าเด็กที่รับประทานแล้วจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่เจ็๋บไข้ได้ป่วย ปีนี้วันสารทไทย ตรงกับวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ วัดป่าธรรมชาติ ทำบุญวันสารทไทย วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔