E-Books

ค้นหา

สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์

เนื้อหาที่เปิดอ่าน
5670798

whosonline

มี 25 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

การบริหารกายแบบโบราณ(โยคะ)

บริหารลมหายใจ

ปราณายาม

ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการปฏิบัติ ปราณายาม

ข้อแนะนำทั่วไป

  1. ข้อแนะนำทั่วไปมีรายละเอียดเช่นเดียวกับข้อแนะนำทั่วไปในการปฏิบัติอาสนะ
  2. ปราณายาม อาจปฏิบัติแยกต่างหากจากอาสนะ หากปฏิบัติต่อเนื่องภายหลังการปฏิบัติอาสนะ ควรเว้นระยะประมาณ 15 นาที ก่อนปฏิบัติปราณายาม

ข้อแนะนำในการปฏิบัติ

  1. อิริยาบถที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติปราณายาม คือท่านั่งบนพื้นที่มีส่วนหลังตั้งตรงและตั้งได้ฉากกับพื้น ดังนั้นอาสนะที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติปราณายามก็คือ วีราสนะ ปัทมาสนะ และ พัทธะ โกณาสนะ เป็นต้น ปราณายามบางชนิดอาจปฏิบัติได้ในอิริยาบถนอน
  2. ในการปฏิบัติปราณายามในอิริยาบทนั่ง ให้ก้มศีรษะต่ำลงจนคางจรดหน้าอก (ซึ่งเรียกว่า ชาลันธระ พันธะ) เสมอ เว้นแต่มีข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น
  3. ให้หลับตาในระหว่างการปฏิบัติปราณายาม หากลืมตาอาจจะรู้สึกระคายเคืองและแสบร้อนในดวงตา
  4. ในการปฏิบัติปราณายาม ให้หายใจผ่านรูจมูกเท่านั้น เว้นแต่มีข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น
  5. ในระหว่างการปฏิบัติปราณายามความคิดควรจะสงบลง ในขณะที่จิตใจตื่นตัวและเฝ้าสังเกต
  6. เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติปราณายาม ให้พักอยู่ในท่าศวาสนะ เป็นเวลาอย่างน้อย 5-10 นาที

 

ข้อแนะนำพิเศษและข้อควรระวัง

  1. เครื่องมือที่อาศัยแรงลมสามารถตัดผ่านศิลาที่แข็งที่สุดได้ ในปราณายาม โยคีใช้ปอดของตนเป็นเสมือนเครื่องมือดังกล่าว ซึ่งหากใช้อย่างไม่ถูกต้องมันจะทำลายทั้งตัวเครื่องมือและผู้ใช้นั้นเอง
  2. ในระยะแรก การปฏิบัติปราณายามอาจจะทำให้เหงื่อออกและตัวสั่นซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปตามระยะเวลาในการปฏิบัติ
  3. ในระหว่างการปฏิบัติปราณายาม ไม่ควรเกิดความรู้สึกตึงเครียดในกล้ามเนื้อ ใบหน้า ตา หู ต้นคอ ไหล่ แขน ต้นขา และเท้า กล้ามเนื้อเหล่านี้อาจตึงเครียดได้โดยไม่รู้ตัว ให้ทำความรู้สึกผ่อนคลายในกล้ามเนื้อเหล่านี้
  4. การหายใจที่สม่ำเสมอ นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีของระบบประสาทและความสม่ำเสมอของจิตใจและอารมณ์ ตรงกันข้าม การหายใจที่ระส่ำระสายและบีบคั้นจะทำให้เกิดความกดดันต่อปอดและกระบังลม ซึ่งเป็นผลเสียต่อระบบการหายใจและระบบประสาท
  5. เมื่อไม่สามารถหายใจยาว ลึก และมั่นคง ได้อย่างสม่ำเสมอ จงหยุดการปฏิบัติทันที ไม่ควรพยายามต่อไป พยายามให้ลมหายใจเข้าและออกมีความยาวเสมอกัน
  6. ควรฝึกกลั้นลมหายใจ เมื่อชำนาญในการหายใจเข้า และหายใจออก ตามเทคนิคที่แนะนำให้แล้วนั้น และควรฝึกกลั้นลมหายใจภายหลังการหายใจออก ก็ต่อเมื่อสามารถกลั้นลมหายใจภายหลังการหายใจเข้า ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  7. ถ้าหากจังหวะของการหายใจเข้าและออกถูกรบกวนโดยการกลั้นลมหายใจให้ย่นระยะเวลาในการกลั้นลมหายใจลง
  8. ผู้ที่เป็นโรคตาและหู (เช่นโรคต้อหิน และหนองในช่องหู) ไม่ควรพยายามกลั้นลมหายใจ
  9. อุชชายี และนาฑี โศธนะ ปราณายาม มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับสตรีมีครรภ์ เมื่อปฏิบัติร่วมกับ พัทธะ โกณาสนะ อย่างไรก็ดี ในระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ควรกลั้นลมหายใจ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำจากครูผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

 

  1. อุชชายี ปราณายาม

อุท หมายถึง การพองตัว การขยาย ชยะ หมายถึง ชัยชนะ หรือความสำเร็จ

อุชชายี คือ กิริยาซึ่งปอดถูกขยายอย่างเต็มที่ และทรวงอกพองออกเช่นเดียวกับทรวงอกของผู้พิชิตชัยชนะ

วิธีปฏิบัติ

ขั้นที่ 1

  1. นอนหงายราบกับพื้นในท่าศพ (ภาพ 102) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  2. นำผ่ามือวางคว่ำบนหน้าท้อง (ภาพ 116) หายใจเข้ารู้สึกถึงการขยายตัวออกเล็กน้อยของท้องจากผ่ามือ หายใจออก รู้สึกถึงการยุบลงของท้องจากผ่ามือเช่นกัน ปฏิบัติ 3-5 รอบ
  3. กำมือหลวม ๆ วางบนซี่โครง ใต้ราวนม (ภาพ 117) หายใจเข้าให้ลึกกว่าในข้อ 2 รู้สึกถึงการขยายออกของท้อง และซี่โครงในลำดับถัดมา (จากมือที่วางอยู่บนซี่โครง) หายใจออก รู้สึกถึงการยุบลง ปฏิบัติ 3-5 รอบ
  4. วางฝ่ามือบนหน้าอกเหนือราวนม (ภาพ 118) หายใจเข้าให้ลึกที่สุด รู้สึกถึงการขยายตัวของส่วนท้อง ซี่โครง การขยายและยกตัวของหน้าอก (จากมือที่วางทาบอยู่) ในขณะที่ส่วนท้องกลับถูกดึงให้ยุบเข้าหาลำตัว หายใจออกรู้สึกถึงการยุบลง ปฏิบัติ 3-5 รอบ แล้วให้หายใจปกติ

ปฏิบัติขั้นนี้จนรู้สึกเป็นธรรมชาติแล้วจึงปฏิบัติขั้นถัดไป

  

ภาพ 116                                                   ภาพ 117

ภาพ 118

ขั้นที่ 2

  1. ปล่อยมือวางข้างลำตัวเหมือนในข้อ 1 หายใจเข้าลึกตามข้อ 4 เริ่มหายใจออกโดยแขม่วหน้าท้องไว้เล็กน้อย ผ่อนลมหายใจออกโดยปล่อยให้อกและซี่โครงยุบตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วจึงยุบส่วนท้องเข้าหาลำตัวจนหมดลม
  2. หายใจเข้าออกปรกติ 2-3 รอบ แล้วจึงปฏิบัติตามข้อ 5 ซ้ำอีก โดยหายใจเข้าลึก หายใจออกยาว สลับกับการหายใจเข้าออกตามปรกติ 2-3 รอบเช่นนี้ 3-5 ครั้ง
  3. ค่อย ๆ ลดจำนวนรอบของการหายใจปรกติระหว่างการหายใจลึกลงช้า ๆ จนสามารถหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว ติดต่อกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติขั้นตอนนี้จนชำนาญแล้ว จึงปฏิบัติขั้นถัดไป

ขั้นที่ 3

  1. นั่งในท่าดอกบัว (ภาพ 27) ท่าดอกบัวครึ่งท่า (ภาพ 28) หรือท่านักรบ (ภาพ 22) ยึดกระดูกสันหลังจากก้นกบขึ้นมาจนถึงหน้าอก ก้มศีรษะลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือจนคางจรดหน้าอก
  2. งอนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ให้ปลายนิ้วมาบรรจบกัน ในขณะที่นิ้วที่เหลือเหยียดออก วางมือบนเข่าหรือบนหรือบนต้นขา หลับตาลงเบา ๆ (ภาพ 119,120,121) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  3. หายใจเข้าออกลึกๆ ตามวิธีในข้อ 7 สังเกตเสียงลมหายใจเข้าและออก พยายามให้เสียงสม่ำเสมอ ปฏิบัติ 20-30 รอบ
  4. นับลมหายใจในจังหวะที่สม่ำเสมอ ทั้งเข้าและออก กำหนดรู้ความยาวสั้นกว่ากันของลมหายใจเข้าและออก หากลมหายใจระส่ำระสายให้หยุดนับ และกลับมาปฏิบัติข้อ 10 จนลมหายใจเป็นปรกติแล้วจึงเริ่มต้นนับใหม่ ฝึกฝนจนสามารถนับลมหายใจได้โดยจังหวะการหายใจยังเป็นปรกติ ปฏิบัติ 20-30 รอบ

  

ภาพ 119                                     ภาพ 120

  

ภาพ 121                                          ภาพ 122

  1. ปรับลมหายใจให้ยาวขึ้นจนลมหายใจเข้าและออกยาวเท่า ๆ กัน ปฏิบัติ 20-30 รอบ อย่ารีบร้อนหรือหักโหมในการปฏิบัติ

ปฏิบัติขั้นนี้จนชำนาญแล้วจึงปฏิบัติขั้นตอนต่อไป

ขั้นที่ 4

  1. หายใจเข้าจนสุด กลั้นลมหายใจไว้ เมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัดให้คลายการยึดเหนี่ยวและหายใจออก หายใจเข้าออกโดยไม่กลั้นลมหายใจ 2-3 รอบ ต่อการฝึกกลั้นลมหายใจ 1 รอบ ค่อยๆ ลดจำนวนรอบของการหายใจปรกติลงจนสามารถหายใจเข้า – กลั้นลมหายใจ-หายใจออก-หายใจเข้า-กลั้นลมหายใจ-หายใจออกได้ต่อเนื่องกันไปเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติ 20-30 รอบ
  2. ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาของการกลั้นลมหายใจหลังการหายใจเข้า จนการหายใจเข้า การกลั้นลมหายใจ และการหายใจออก มีระยะเวลาเท่า ๆ กัน
  3. เมื่อปฏิบัติข้อ 14 ได้แล้ว ให้เพิ่มการปฏิบัติ มูละ พันธะ คือการหดกระซับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก และกล้ามเนื้อจากทวารหนักถึงอวัยวะเพศ ในระหว่างการกลั้นลมหายใจ

ขั้นที่ 5

  1. ฝึกกลั้นลมหายใจหลังการหายใจออก โดยหายใจเข้า-ออกตามข้อที่ 12 เมื่อหายใจออกจนสุดแล้วให้กลั้นลมหายใจไว้จนเริ่มรู้สึกอึดอัดจึงคลายการยึดเหนี่ยว หายใจเข้าออกตามปรกติ 2-3 รอบ ต่อการฝึกกลั้นหายใจ 1 รอบ ค่อย ๆ ลดจำนวนรอบของการหายใจปรกติลงจนสามารถหายใจเข้า-หายใจออก-กลั้นลมหายใจ-หายใจเข้า-หายใจออก-กลั้นลมหายใจ ได้ต่อเนื่องอย่างเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติ 20-30 รอบ
  2. ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาของการกลั้นลมหายใจหลังการหายใจออก จนการหายใจเข้า การหายใจออก และการกลั้นลมหายใจมีระยะเวลาเท่า ๆ กัน
  3. เมื่อปฏิบัติข้อ 17 ได้แล้ว ให้เพิ่มการปฏิบัติ คือการยุบส่วนท้องทั้งหมดเข้าหากระดูดสันหลังพร้อมกับยกขึ้น (ภาพ 122) ในระหว่างการกลั้นลมหายใจ

ขั้นที่ 6

  1. หายใจเข้า กลั้นลมหายใจ หายใจออกเช่นนี้ 2-3 รอบ แล้วตามด้วยการกลั้นลมหายใจหลังการหายใจออก 1 ครั้ง เช่นนี้หมุนเวียนกันไป 5-6 ครั้ง
  2. ค่อย ๆ ลดสัดส่วนนั้นลงจนเป็นการหายใจเข้า กลั้นลมหายใจ หายใจออก กลั้นลมหายใจ ต่อเนื่องกันไป ปฏิบัติ 20-30 รอบ

หลังการปฏิบัติปราณายามทุกครั้ง ให้ปฏิบัติท่าศพเป็นการผ่อนคลาย 5-10 นาที

ผลดี

อุชชายี ปราณายาม ช่วยถ่ายเทอากาศในปอด กำจัดเสมหะ เสริมสร้างความอดทน ทำให้ระบบประสาทสงบเย็น และทำให้ระบบในร่างกายทั้งหมดแข็งแรง การปฏิบัติอุชชายี ปราณายามในท่านอนโดยไม่กลั้นลมหายใจ มีผลดีมากต่อผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูง หรือโรคของหลอดเลือดต่าง ๆ

  1. นาฑี โศธนะ ปราณายาม

นาฑี คือ ช่องทางผ่านของปราณะ หรือพลังงานในร่างกาย โศธนะหมายถึงการชำระล้าง การกระทำให้บริสุทธิ์ นาฑี โศธนะ ปราณายาม จึงมุ่งหมายเพื่อชำระล้างระบบประสาทให้บริสุทธิ์

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งในท่าใดท่าหนึ่ง ก้มศีรษะลงจนคางจรดหน้าอก กระทำญาณมุทรา (ภาพ 119, 120,121)
  2. งอพับนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวา ในขณะที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วนาง และนิ้วก้อยงอโค้งเข้าหากัน (ภาพ 123) ลักษณะของมือดังกล่าวเรียกว่า วิษณุมุทรา
  3. วางนิ้วหัวแม่มือลงบนร่องจมูกขวาให้สันจมูกนิ้วนางและนิ้วก้อยลงบนร่องจมูกซ้าย ในลักษณะ ที่ให้ปลายนิ้วสัมผัสกับร่องจมูก (ภาพ 124, 125)

ขั้นที่ 1

  1. ทำให้รูจมูกแคบลงโดยการเพิ่มแรงกดเบา ๆ ที่ปลายนิ้วมือ ระวังอย่าให้ปลายจมูกเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง
  2. หายใจเข้าออกผ่านรูจมูกที่แคบลงทั้งสองข้างนั้น ในลักษณะของการหายใจลึกดังในอุชชายี ปราณายาม ปฏิบัติ 20-30 รอบ
  3. ค่อย ๆ ทำให้รูจมูกแคบลงมากขึ้น ๆ ปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 5

ขั้นที่ 2

  1. ปิดจมูกซ้ายด้วยปลายนิ้วนางและนิ้วก้อย ทำให้รูจมูกขวาแคบลงด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ หายใจออกผ่านรูจมูกขวา
  2. หายใจเข้าผ่านรูจมูกขวาจนสุด กลั้นลมหายใจชั่วขณะเพื่อปรับระดับนิ้วมือ โดยปิดรูจมูกขวา และเปิดรูจมูกซ้ายเพียงเล็กน้อย
  3. หายใจออก ผ่านรูจมูกซ้ายที่แคบนั้นจนสุด กลั้นลมหายใจชั่วขณะ

  

ภาพ 123                                       ภาพ 124

  1. หายใจเข้า ผ่านรูจมูกซ้ายจนสุด กลั้นลมหายใจชั้วขณะ ปรับนิ้วมือโดยปิดรูจมูกซ้าย เปิดรูจมูกขวาเล็กน้อย
  2. หายใจออกผ่านรูจมูกขวาที่แคบนั้นจนสุด กลั้นหายใจชั้วขณะ การปฏิบัติในข้อ 8-11 คือ 1 รอบ ให้ปฏิบัติเช่นนี้ 10-15 รอบ


 

ภาพ 125

ขั้นที่ 3

  1. ให้ปฏิบัติตามวิธีในข้อ 8-11 เพิ่มระยะเวลาของการกลั้นลมหายใจหลังการหายใจเข้า พร้อมกับหดกระชับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักและกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนักถึงอวัยวะเพศ ปฏิบัติ 10-15 รอบ

ขั้นที่ 4

  1. ปฏิบัติตามในวิธีข้อ 8-11 เพิ่มระยะเวลาของการกลั้นลมหายใจหลังการหายใจออก พร้อมกับการยุบส่วนท้องทั้งหมดเข้าหากระดูกสันหลังและยกขึ้น ปฏิบัติ 10-15 รอบ
  2. รวมการปฏิบัติในข้อ 12 และ 13 เข้าด้วยกัน ลักษณะการหายใจจะเป็นดังนี้ หายใจเข้า(ขวา) - กลั้นหายใจ – หายใจออก (ซ้าย) – กลั้นหายใจ –หายใจเข้า (ซ้าย) –กลั้นหายใจ –หายใจออก (ขวา) –กลั้นหายใจ ปฏิบัติ 5-10 รอบ

ควรปฏิบัติแต่ละขั้นตอนจนชำนาญแล้วจึงปฏิบัติขั้นตอนต่อไป หลังการปฏิบัติปราณายามทุกครั้งให้ปฏิบัติท่าศพ เพื่อผ่อนคลาย 5-10 นาที

ผลดี

ในนาฑี โศธนะ ปราณายาม การหายใจผ่านรูจมูกที่แคบทำให้ลมหายใจละเอียดและยาวขึ้น ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ ความอดทนจะเพิ่มมากขึ้น ผู้ปฏิบัติรู้สึกสดชื่น ระบบประสาทสงบเย็นและบริสุทธิ์ จิตใจสงบและใสกระจ่าง

ขั้นตอนการฝึกปฏิบัติอาสนะและปราณายาม

สำหรับผู้เริ่มปฏิบัติโยคะ หรือเคยปฏิบัติมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยจัดระบบการปฏิบัติของตนเองให้ครอบคลุมท่าบริหารที่ครบถ้วนสมดุล ผู้เขียนของเสนอแนะวิธีฝึกปฏิบัติอาสนะและปราณายามอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งจะพัฒนาผู้ฝึกฝนให้สามารถขึ้นตามลำดับ จนปฏิบัติอาสนะและปราณายามที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ได้หมด อันจะเป็นการปฏิบัติโยคะที่ครบถ้วนสมดุล ให้ผลดีแก่ร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริง

ขั้นที่ 1

ลำดับการฝึก ท่าแมว,ท่านักรับ,ท่าสิงโต,ท่านอนยกเท้า,สูรยนมัสการ (6 รอบ) ท่าผีเสื้อ,ท่าบิดลำตัว 1, ท่าสามเหลี่ยม,ท่าศพ,อุชชายี ปราณายามในท่านอนระยะเวลาแต่ละท่าใช้เวลาตามที่แนะนำในวิธีปฏิบัติ ปราณายาม ประมาณ 10 นาที

ขั้นที่ 2

ลำดับการฝึก ท่าแมว,ท่านักรบ,ท่าหน้าวัว,ท่าหมุนท้อง,สูรยนมัสการ (3 รอบ),ท่าผีเสื้อ,ท่ายืนด้วยศีรษะขั้นที่ 1-2, ท่าบิดลำตัว 2, ท่ามือถึงเท้า, ท่างู, ท่าตั๊กแตน, ท่าสุนัขเหยียดลำตัว, ท่าสามเหลี่ยมหมุนกลับ, ท่าดอกบัว, ท่าศพ, อุชชายี ปราณายามในท่านอน

ระยะเวลา แต่ละท่าใช้เวลาตามที่แนะนำในวิธีปฏิบัติ ท่ายืนด้วยศีรษะทำแต่ละขั้นด้วยกานหายใจเข้าออก 5 รอบ ทำซ้ำ ๆ รวมประมาณ 5 นาที

ขั้นที่ 3

ลำดับการฝึก ท่าแมว,ท่านักรบ,ท่าสิงโต, ท่านอนยกเท้า, สูรยนมัสการ (3 รอบ), ท่าผีเสื้อ, ท่ายืนด้วยศีรษะขั้นที่ 3, ท่ายืนด้วยไหล่, ท่าคันไถ, ท่าปลา (ขาเหยียด) ท่าบิดลำตัว 3, ท่าหัวถึงเข่า, ท่างู, ท่าตั๊กแตน, ท่าธนู, ท่าสุนัขเหยียดลำตัว, ท่าเรือกลไฟ,ท่าดอกบัว, ท่าศพ, อุชชายี ปราณายามในท่านั่ง

ระยะเวลา แต่ละท่าใช้เวลาตามที่แนะนำในวิธีปฏิบัติ ท่ายืนด้วยศีรษะ พยายามปฏิบัติซ้ำๆ ประมาณ 5 นาที ใจแต่ละวันจนสามารถทรงตัวได้ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาในการทรงตัวตามคำแนะนำในวิธีปฏิบัติ

ขั้นที่ 4

ลำดับการฝึก ท่าแมว, ท่านักรบ, ท่าหน้าวัว, ท่าหมุนท้อง, สูรยนมัสการ (3 รอบ), ท่าผีเสื้อ, ท่ายืนด้วยศีรษะขั้นที่ 4-5 , ท่ายืนด้วยไหล่, ท่าคันไถ,ท่าปลา(ขัดขา), ท่าบิดลำตัว 3, ท่ายืดส่วนหลัง, ท่างู, ท่าตั๊กแตน, ท่าอูฐ, ท่าสุนัขเหยียดลำตัว, ท่าหน้าจั่ว, ท่าดอกบัว, ท่าศพ, อุชชายี ปราณายามในท่านั่ง

ระยะเวลา แต่ละท่าใช้เวลาตามที่แนะนำในวิธีปฏิบัติ

เวลาที่ใช้ในการฝึกแต่ละขั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติโดยทั่วไปหากปฏิบัติสัปดาห์ละ 4-5 วันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ น่าจะใช้เวลาในแต่ละขั้น 4-8 สัปดาห์ เมื่อปฏิบัติได้ถึงขั้นที่ 4 แล้ว เราก็สามารถสรุปการปฏิบัติอาสนะและปราณายามเป็นแนวทางการปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

 

แนวทางการปฏิบัติโยคะ ในชีวิตประจำวัน

วันที่ 1, 2, 4, 5 ของสัปดาห์

ท่าแมว, ท่านักรบ, ท่าสิงโต (สลับกับท่าหน้าวัว), ท่านอนยกเท้า (สลับกบท่าหมุนท้อง),สูรยนมัสการ (3 รอบ) ท่าผีเสื้อ, ท่ายืนด้วยศีรษะ, ท่ายืนด้วยไหล่, ท่าปลา, กลุ่มท่าบิดตัว (สลับกันไป), กลุ่มท่าโค้งลำตัวไปข้างหน้า (สลับกันไป), ท่างู, ท่าตั๊กแตน, ท่าธนู (สลับกับท่าอูฐ), ท่าสุนัขเหยียดลำตัว, กลุ่มท่ายืน(สลับกันไป), ท่าดอกบัว,ท่าศพ 10 นาที

วันที่ 3, 6 ของสัปดาห์

ท่าแมว, ท่านักรบ, ท่าสิงโต (สลับกับท่าหน้าวัว), ท่ายกเท้า (สลับท่าหมุนท้อง), สูรยนมัสการ (3 รอบ), ท่าศพ ปราณายาม 30 นาที, ท่าศพ 10 นาที

วันที่ 7 ของสัปดาห์

พัก

บริหารกายแบบสุรยนมัสการ

สุริยนมัสการ

       สูรยะ หมายถึงพระอาทิตย์ นมัสการ คือการเคารพบูชา สูรยนมัสการเป็นการนำเอาอาสนะต่าง ๆ มาเรียงดำลับเพื่อการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาในการปฏิบัติอาสนะอย่างจำกัด และเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนการปฏิบัติอาสนะหลัก

วิธีปฏิบัติ

  1. ยืนในท่าภูเขา ยกมือขึ้นพนมที่หว่างอก (ภาพ 104) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  2. หายใจเข้าพร้อมกับเหยียดแขนไปข้างหน้า ยกแขนที่เหยียดนั้นขึ้นเหนือศีรษะหงายลำตัวและศีรษะไปข้างหลังสุด (ภาพ 105)

  

ภาพ 104                                   ภาพ 105

  1. หายใจออกพร้อมกับก้มตัวมาข้างหน้า วางมือบนพื้นข้างเท้าทั้งสองข้าง ก้มตัวเข้าชิดขาให้มากที่สุด (ภาพ 106) หากจำเป็นให้หย่อนเข่าทั้งสองข้างเพื่อให้มือสัมผัสพื้น
  2. หายใจเข้าพร้อมกับถอยเท้าซ้ายตรงมาข้างหลังจนสุด หย่อนเข่าซ้ายลงกับพื้นและเงยหน้าขึ้น (ภาพ 107)

   

ภาพ 106                                           ภาพ 107

  1. กลั้นหายใจ ถอยเท้าขวามาชิดเท้าซ้าย พยุงลำตัวให้ลอยอยู่เหนือพื้นด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง (ภาพ 108)
  2. หายใจออก ลดเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น หย่อนหน้าอกจากนั้นก็หน้าผากลงแตะพื้น ส่วนท้องคงลอยอยู่เหนือพื้น (ภาพ 109)

  

ภาพ 108                                               ภาพ 109  

  1. หายใจเข้า หย่อนท้องลงกับพื้น เหยียดปลายเท้า เงยศีรษะโค้งลำตัวกลับมาทางด้านหลัง ระวังอย่ายกไหล่ขึ้น ให้ไหล่ราบ (ภาพ 110)
  2. หายใจออก งอปลายเท้า ยกส้นเท้าตั้งขึ้น ยกลำตัวขึ้นและถอยกลับมาข้างหลังกดส้นเท้าและก้มศีรษะลงหาพื้นให้มากที่สุด หรือจนสัมผัสพื้น (ภาพ 111)

  

ภาพ 110                                      ภาพ 111

  1. หายใจเข้า ชักเท้าซ้ายมาข้างหน้า วางฝ่าเท้าซ้ายข้างมือซ้าย หย่อนเข่าขวาลงกับพื้นพร้อมเงยหน้าขึ้น (ภาพ 112)
  2. หายใจออก ชิดเท้าขวาเข้าหาเท้าซ้าย ก้มตัวลงจนชิดท่อนขาให้มากที่สุด มือยังคงวางอยู่บนพื้น (ภาพ 113)

  

ภาพ 112                                       ภาพ 113

  1. หายใจเข้า ยกลำตัวขึ้นและหงายกลับไปข้างหลัง พร้อมกับแขนที่เหยียด (ภาพ 114)
  2. หายใจออก ยกลำตัวกลับมาตั้งตรง ลดแขนลงทอดข้างลำตัวมาอยู่ในท่าภูเขา (ภาพ 115)

   

ภาพ 114                                        ภาพ 115

      หนึ่งรอบของสูรยนมัสการ มี 12 ขั้นดังกล่าว ปฏิบัติซ้ำตั้งแต่สามรอบขึ้นไปตามความสามารถและเวลาที่มีจนถึงสิบสองรอบ ระหว่างรอบให้หยุดอยู่ในท่าที่ 12 หายใจเข้าออกลึก ๆ จนลมหายใจเกือบเป็นปรกติ แล้วจึงเริ่มปฏิบัติรอบต่อ ๆ ไป

ผลดี

 ทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น มีความอบอุ่น จมูกโล่ง ขับเสมหะ จิตใจมีความตื่นตัว พร้อมรับกับการบริหารในท่าต่อ ๆ ไป

วิธีฝึกหัดการบริหารกาย แบบโบราณ (โยคะ)

(แบบอาสนะ) มี 7 กลุ่ม

 

กลุ่มที่ 6 

ท่ากลับศีรษะลง  มี 4 ท่า

        อาสนะในกลุ่มนี้มีลักษณะการบริหารที่ทำให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัว ผลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อร่างกายจึงมีลักษณะที่กลับกันกับปรกติวิสัย ผลดีจึงเกิดแก่อวัยวะเช่น สมอง ต่อมไร้ท่อ บริเวณสมอง และลำคอ เนื่องจากการไหลเวียนของโลหิต ที่มาหล่อเลี้ยงมีมากขึ้นตามอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง อาสนะในกลุ่มนี้เป็นอาสนะหลักของหฐโยคะ จึงควรที่ผู้สนใจปฏิบัติโยคะจะพยายามปฏิบัติให้ได้แม้จะต้องใช้เวลานานพอสมควร

 

6.1 ท่ายืนด้วยศีรษะ (ศีรษาสนะ)

ในท่านี้ผู้ปฏิบัติทรงตัวอยู่บนศีรษะ โดยมีเท้าชี้ขึ้นบน

วิธีปฏิบัติ

  1. คุกเข่าลงข้างหน้าผืนผ้าที่หนาและแน่น ประสานมือเข้าด้วยกัน วางมือและข้อศอกลงบนผืนผ้า ระวังอย่าให้ข้อศอกห่างกันเกินหนึ่งช่วงไหล่ (ภาพ 67)
  2. ก้มศีรษะลงจนจรดพื้น ให้ด้านหลังของศีรษะอยู่ในอุ้งมือที่ประสานกัน ชิดเข่าเข้าหาข้อศอกพร้อมกับขยับศีรษะให้ตั้งตรง (ภาพ 68)
  3. ยกเข่าขึ้นจากพื้น เหยียดเข่าให้ขาตรง ใช้ปลายเท้าดันให้ลำตัวตั้งตรงมากขึ้น (ภาพ 69) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  4. หายใจออก พับต้นขาเข้าหาลำตัว โดยที่ปลายเท้ายังสัมผัสพื้น (ภาพ 70) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  5. หายใจออก ยกเท้าขึ้นจากพื้น พับเข้าหาต้นขา (ภาพ 71) ทรงตัวอยู่ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  6. หายใจออก ค่อยๆ ยกขาที่งอพับอยู่ขึ้นช้า ๆ จนเข่าชี้ขึ้นบน (ภาพ 72,73) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  7. หายใจออก เหยียดขาออกช้า ๆ จนลำตัวทั้งหมดตั้งตรง (ภาพ 74, 75) ทรงตัวอยู่ในท่านี้ตามความสามารถ เริ่มด้วยการหายใจเข้าออก 5 รอบค่อยๆ ยืดระยะเวลาออกไปทีละ 2-3 รอบ จนได้ 60 รอบหรือประมาณ 10 นาที หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  8. ปฏิบัติย้อนลำดับจนกลับมาอยู่ในท่าในข้อ 1 แล้วผ่อนคลาย

  

ภาพ 67                                        ภาพ 68

  

ภาพ 69                                         ภาพ 70

   

ภาพ 71                                          ภาพ 72

     

    

ภาพ 73                                            ภาพ 74  

ข้อสังเกต

ผู้เริ่มปฏิบัติควรปฏิบัติอาสนะนี้เป็นขั้นเป็นตอน กล่าวคือ ปฏิบัติตามข้อ 1-3 เป็นขั้นตอนหนึ่ง ปฏิบัติเพียงเท่านี้ในการฝึกหัดระยะแรก จนมั่นใจจึงปฏิบัติข้อ 4 เป็นขั้นตอนที่สอง ปฏิบัติขั้นนี้จนมั่นใจจึงเลื่อนไปถึงข้อ 5 เป็นขั้นตอนที่สาม เมื่อทรงตัวได้มั่นใจแล้วจึ่งไปถึงข้อ 6 เป็นขั้นตอนที่สี่ และข้อ 7 เป็นขั้นตอนสุดท้าย ใช้เวลาฝึกหัดในแต่ละขั้นตอนตามความสามารถของแต่ละบุคคล อาจเป็นวันหรือเป็นเดือนก็ได้

ในการปฏิบัติตั้งแต่ข้อที่ 4-7 ผู้ปฏิบัติอาจล้มหงายหลังได้ทุกขณะซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด ให้หาเบาะหรือที่นอนขนาดเล็กที่มีความหนาพอเหมาะมารองไว้ที่ด้านหลังหรือจะปฏิบัติบนเบาะนั้นเลยก็ได้ เมื่อรู้สึกว่าจะเสียการทรงตัวอย่าตกใจ ให้คลายมือที่ประสานกันออก พับศีรษะเข้าหาลำตัวพร้อมกับงอเข่า ผู้ปฏิบัติจะกลิ้งไปบนเบาะโดยไม่เจ็บปวดหรือมีอันตรายใด ๆ

การวางศีรษะบนพื้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะช่วยให้การทรงตัวบนศีรษะเป็นไปได้ดี ผู้ปฏิบัติต้องหาจุดพอเหมาะที่ทำให้น้ำหนักตัวส่งผ่านกระดูกสันหลังลงสู่พื้น โดยปรกติจะอยู่บนแนวเส้นตรงสมมุติที่ลากจากหลังใบหูข้างหนึ่งไปตามศีรษะจนถึงหลังใบหูอีกข้างหนึ่ง การจะหาจุดที่ว่านี้ต้องผ่านการทดลองซ้ำ ๆ หลายครั้ง ถ้าตรงจุดจะรู้สึกว่าการทรงตัวบนศีรษะเป็นไปได้โดยง่าย

ในการปฏิบัติที่ถูกต้องน้ำหนักตัวควรจะอยู่บนศีรษะเท่านั้น ถ้ารู้สึกหนักที่แขนแสดงว่าน้ำหนักตัวตกมาทางด้านหน้า นั่นคือลำตัวยังตั้งได้ไม่ตรง ให้ผู้ปฏิบัติยืดส่วนหน้าอก และเก็บหน้าท้องโดยการกระชับกล้ามเนื้อด้านหลังบริเวณเอว เหยียดขาโดยการะกระซับกล้ามเนื้อด้านหลังของต้นขา ลำตัวก็จะตั้งตรงตามธรรมชาติของโครงสร้างของร่างกาย หนักตัวจะถูกส่งผ่านกระดูกสันหลังลงยังพื้นบนจุดยอดของศีรษะพอดี ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกโปร่งเบาเช่นเดียวกับการยืนอย่างถูกต้องบนเท้า

สำหรับผู้เริ่มปฏิบัติที่ยังไม่มั่นใจ ให้ปฏิบัติที่หน้ากำแพงหรือผนังห้องโดยวางมือห่างจากผนังประมาณ 3-4 นิ้วฟุต ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ 1-5 โดยพิงลำตัวเข้ากับผนัง จากนั้นค่อย ๆ เหยียดขาขึ้นข้างบนจนขาตั้งตรง เคลื่อนลำตัวออกจากกำแพงโดยใช้ส้นเท้าแตะประคองอยู่ที่ผนัง ยืดหน้าอก เก็บหน้าท้อง เหยียดท่อนขา ค่อย ๆ ผละส้นเท้าจากกำแพง เรียนรู้การทรงตัว เมื่อจะลงจากอาสนะให้พับท่อนขาเข้าหาลำตัว ปฏิบัติย้อนลำดับจากข้อ 5-1 แล้วผ่อนคลาย

ผลดี

พลังความคิด ความจำ และการรับรู้จะดีขึ้น การทำงานของต่อมไร้ท่อ ได้แก่ต่อมพิทูอิทารี ต่อมไพเนียล ต่อมไธรอยด์ และพาราไธรอยด์ มีประสิทธิภาพมากขึ้นป้องกันและรักษาอาการเบื้องต้นของใส้เลื่อน เส้นเลือดขอด และผมหงอกก่อนวัย

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรปฏิบัติอาสนะนี้

 

6.2 ท่ายืนด้วยไหล่ (สรรวางคาสนะ)

สรรวางคะ แปลว่า ร่างกายทั้งหมด ในท่านี้ร่างกายทั้งหมดถูกยกพ้นจากพื้น มีเพียงคอและไหล่ ที่รองรับน้ำหนักของร่างกาย ส่วนแขนที่หน้าที่เพียงค้ำยันสร้างความสมดุล

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนหงายบนพื้น ผ่อนคลาย
  2. ชิดเท้าเข้าหากัน ชิดแขนเข้าหาลำตัว ฝ่ามือคว่ำลงกับพื้น เหยียดลำคอด้านหลังด้วยการดันคางให้เข้าใกล้ลำคอด้านหน้า (ภาพ 76) หายใจเข้าออกด้วยความรู้สึกตัว
  3. หายใจออก ยกขาขึ้นจากพื้นในลักษณะ ที่เหยียดตรงจนตั้งฉากได้ฉากกับพื้น (ภาพ 77) หายใจเข้า
  4. หายใจออก เคลื่อนเท้าต่อไปพร้อมกับยกสะโพกและลำตัวขึ้นจากพื้น โดยใช้มือช่วยดันพื้นเบา ๆ (ภาพ 78,79) หายใจเข้า
  5. หายใจออก พับแขน ขยับข้อศอกเข้าหากัน ใช้มือช่วยดันลำตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุดหรือจนหน้าอกจรดคาง (ภาพ 80)
  6. หายใจเข้า ยกขาขึ้นตั้ง กระชับกล้ามเนื้อด้านหลังของสะโพก และต้นขาเหยียดขาตรง (ภาพ 81, 82) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อยู่ในท่านี้ตามความสามารถ เริ่มด้วยการหายใจเข้าออก 5 รอบ ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาทีละ 2-3 รอบ จนถึง 60 รอบ หรือประมาณ 10 นาที
  7. ปฏิบัติย้อนลำดับจนกลับมาอยู่ในท่าในข้อที่ 1

   

ภาพ 76                                        ภาพ 77

   

ภาพ 78                                                ภาพ 79

   

ภาพ 80                                     ภาพ 81

ภาพ 82

 

ผลดี

เช่นเดียวกับศีรษาสนะ นอกจากนี้ยังบรรเทาอาการและรักษาโรคหอบหืด โรคของระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ

ข้อควรระวัง

ผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรปฏิบัติอาสนะนี้

 

6.3 ท่าคันไถ (หลาสนะ)

หะละ หมายถึง คันไถ ลักษณะของท่านี้คล้ายคันไถของชาวนาในสมัยที่การทำนายังอาศัยแรงงานของสัตว์เลี้ยง

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนหงายบนพื้น ผ่อนคลาย
  2. ชิดเท้าเข้าหากัน ชิดแขนเข้าหาลำตัวฝ่ามือคว่ำลงกับพื้น เหยียดลำคอด้านหลังด้วยการดันคางให้เข้าใกล้ลำคอด้านหน้า (ภาพ 76) หายใจเข้าออกด้วยความรู้สึกตัว
  3. หายใจออก ยกขาขึ้นจากพื้นในลักษณะที่เหยียดตรงจนตั้งได้ฉากกับพื้น (ภาพ 77) หายใจเข้า
  4. หายใจออก เคลื่อนเท้าต่อไปพร้อมกับยกสะโพกและลำตัวขึ้นจากพื้น โดยใช้มือช่วยดันพื้นเบา ๆ (ภาพ 78, 79) หย่อนเท้าลงแตะพื้นเหนือศีรษะ (ภาพ 83) หายใจเข้า
  5. หายใจออก เคลื่อนเท้าออกห่างจากศีรษะจนรู้สึกตึงเต็มที่ เหยียดปลายเท้าให้หลังเท้าสัมผัสพื้น (ภาพ 84) อยู่ในท่าตามความสามารถ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เริ่มด้วย 5 รอบการหายใจเข้าออก จนถึง 20 รอบ
  6. ในระยะแรกที่ไม่สามารถหย่อนเท้าลงแตะพื้นให้ใช้ม้านั่งตัวเล็ก ๆ รองรับเท้าที่เหนือศีรษะ (ภาพ 85) ค่อย ๆ ลดความสูงของม้านั่งลงจนเท้าสามารถสัมผัสพื้นได้ในที่สุด
  7. ในการปฏิบัติท่าคันไถ ต่อจากท่ายืนด้วยไหล่ตามแนวทางการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้น จากท่ายืนด้วยไหล่ให้คลายมือที่กระชับดันแผ่นหลัง พับลำตัวหย่อนเท้าลงจนสัมผัสพื้น (ภาพ 86) เหยียดแขนที่พับอยู่วางลงกับพื้น เคลื่อนเท้าออกห่างจากศีรษะจนรู้สึกตึงเต็มที่ เหยียดปลายเท้าให้หลังเท้าสัมผัสพื้น (ภาพ 84)
  8. ปฏิบัติย้อนลำดับจนกลับมาอยู่ในท่าในข้อที่ 1

   

ภาพ 83                                      ภาพ 84

   

ภาพ 85                                          ภาพ 86

ผลดี

บรรเทาอาการและรักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดคอ ปวดไหล่

 

6.4 ท่าสุนัขเหยียดลำตัว (อโธ มุขะ ศวานาสนะ)

อโธ มุขะ หมายถึงมีใบหน้าคว่ำลง ศวานะ หมายถึง สุนัข ลักษณะของท่านี้คล้ายท่าทางของสุนัขเวลาที่เหยียดตัวไล่ความเกียจคร้าน

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนคว่ำลงกับพื้น (ภาพ 43) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  2. แยกเท้าออกห่างจากกันประมาณ 1 ฟุต วางนิ้วเท้าลงบนพื้น ส้นเท้าตั้งขึ้น คว่ำฝ่ามือวางข้างหน้าอก ใบหน้าคว่ำลง (ภาพ 87) หายใจเข้าออกด้วยความรู้สึกตัว
  3. หายใจออก ยกลำตัวขึ้นจากพื้น ถอยลำตัวมาหาเท้า ก้มศีรษะลงสู่พื้นพร้อมกับกดส้นเท้าลงกับพื้น ให้ได้มากที่สุด หรือจนส้นเท้าทั้งสองสัมผัสกับพื้นเข่าตึง แขนเหยียด (ภาพ 88) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ 3-5 รอบ จนถึง 20 รอบตามความสามารถ
  4. หายใจออก ยกศีรษะขึ้นจากพื้น เคลื่อนลำตัวมาหามือ หย่อนลำตัวลงวางกับพื้นแล้วผ่อนคลาย

     

ภาพ 87                                           ภาพ 88

ผลดี

แก้อาการปวดเมื่อย ตึงในขา เท้าและหัวไหล่ ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือปฏิบัติท่ายืนด้วยศีรษะไม่ได้ สามารถปฏิบัติท่านี้เป็นการทดแทนได้

วิธีฝึกหัดการบริหารกาย แบบโบราณ (โยคะ)

(แบบอาสนะ) มี 7 กลุ่ม

กลุ่มที่ 7 

ท่าอื่น ๆ มี 6 ท่า

ท่าเหล่านี้เป็นท่าที่มุ่งบริหารอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งไม่อาจจัดเข้ากับท่าในกลุ่มต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมทั้งท่าผ่อนคลาย ซึ่งผู้ปฏิบัติควรให้ความสนใจฝึกฝนเป็นพิเศษ

 

7.1 ท่านอนยกเท้า (อูรธวะ ประสาริตะ ปาทาสนะ)

อูรธวะ หมายถึง ตั้งต้น เหนือหรือสูง ประสาริตะ หมายถึง ยืด เหยียดออก ปาทะ หมายถึง เท้า

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนหงายบนพื้น ผ่อนคลาย
  2. ชิดเท้าเข้าหากัน ปลายเท้าเหยียด ชิดแขนเข้าหาลำตัว ฝ่ามือคว่ำลงกับพื้นหายใจเข้าออกด้วยความรู้สึกตัว
  3. หายใจออก ยกขาขึ้นจากพื้นในลักษณะที่เหยียดตรงให้เท้าสูงจากพื้นเล็กน้อย (ภาพ 89) หายใจเข้าออก 3-5 รอบ หรือมากน้อยตามความสามารถแล้วพักขาลงกับพื้น
  4. หายใจออก ยกขาขึ้นในลักษณะเดียวกันให้เท้าสูงจากพื้นประมาณครึ่งมุมฉาก (ภาพ 90) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อยู่ในท่าตามความสามารถ แล้วพักขาลงกับพื้น
  5. หายใจออก ยกขาขึ้นในลักษณะเดียวกันให้ขาตั้งได้ฉากกับพื้น (ภาพ 77) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อยู่ในท่าตามความสามารถ แล้วพักขาลงกับพื้นผ่อนคลาย
  6. ผู้ปฏิบัติอาจปฏิบัติตามข้อ 3-5 อย่างต่อเนื่องกันไปโดยไม่ต้องพักขาลงกับพื้น ในแต่ละตอนจนกว่าจะถึงตอนสุดท้ายก็ได้ และหากต้องการให้ได้ผลมากขึ้นให้ยกแขนเหยียดชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะแล้วปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติข้างต้น ตัวอย่างภาพ 91

  

 ภาพ 89                                                  ภาพ 90

ภาพ 91

ผลดี

เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและลดไขมันส่วนเกินในบริเวณนั้น

 

7.2 ท่าหมุนท้อง (ชฐระ ปริวรรตนาสนะ)

ชรฐะ หมายถึง ท้อง ปริวรรตนะ หมายถึง หมุน วนรอบ กลิ้ง

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนหงายบนพื้น ผ่อนคลาย
  2. ชิดเท้าเข้าหากัน ปลายเท้าเหยียด กางแขนออกจนตั้งได้ฉากกับลำตัว หายใจเข้าออกด้วยความรู้สึกตัว
  3. หายใจออก ยกขาขึ้นจากพื้นในลักษณะที่เหยียดตรงจนขาตั้งได้ฉากกับพื้น (ภาพ 92) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  4. หายใจออก ตะแคงขาลงไปทางด้านซ้าย ค่อย ๆ หย่อนเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นข้างมือซ้ายโดยระวังให้ขาเหยียดตึง บิดส่วนท้องและลำตัวกลับมาทางขวาให้มากที่สุดจนไหล่ขวาสัมผัสพื้น (ภาพ 93) หายใจเข้าออก 3-5 รอบ
  5. หายใจออก ยกขากลับมาในตำแหน่งตั้งฉากกับพื้น (ภาพ 92) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  6. หายใจออก ตะแคงขาลงไปทางด้านขวา ค่อย ๆ หย่อนเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นข้างมือขวา โดยระวังให้ขาเหยียดตึง บิดส่วนท้องและลำตัวกลับมาทางซ้ายให้มากที่สุดจนไหล่สัมผัสพื้น (ภาพ 94) หายใจเข้าออก 3-5 รอบ
  7. หายใจออก ยกขากลับมาในตำแหน่งตั้งฉากกับพื้น หายใจเข้าออก แล้วลดขาลงกับพื้นและผ่อนคลาย

  

ภาพ 92                                                      ภาพ 93

ภาพ 94

ผลดี

ลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องและสะโพก แก้อาการท้องอืดเฟ้อ อวัยวะภายในช่องท้องจะทำงานได้ดีขึ้น

 

7.3 ท่าสิงโต (สิงหาสนะ)

ลักษณะของทาคล้ายสิงโตที่กำลังคำราม

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งซ้อนทับส้นเท้าในท่านักรบ (ภาพ 19) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  2. ยกแก้มก้นขึ้นเหมือนกำลังยิ้ม อ้าปากหย่อนคางลงให้มากที่สุด โดยที่แก้มยังยกค้างอยู่ เหลือกตาขึ้นข้างบน สายตาเพ่งมองที่หว่างคิ้ว
  3. แลบลิ้นออกมาแล้วโค้งเข้าหาคางให้มากที่สุด แขนเหยียดตรง นิ้วมือกางออก (ภาพ 95) หายใจเข้าออกทางปากสม่ำเสมอ 3-5 รอบ
  4. ทำซ้ำ 3-5 ครั้งแล้วผ่อนคลาย

ภาพ 95

ผลดี

ทำให้ใบหน้ามีเลือดฝาด บรรเทาอาการเจ็บคอ เสียงแหบ แก้ไขการที่ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

 

7.4 ท่าหน้าวัว (โคมุขาสนะ)

โคมุข หมายถึง หน้าของวัว ลักษณะของท่าคล้ายส่วนหัวของวัว ซึ่งมีเขาสั้น ๆ สองข้าง

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งซ้อนทับส้นเท้าในท่านักรบ (ภาพ 19) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  2. หายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับไพล่แขนซ้ายกลับหลัง พับแขนท่อนล่างเข้าหาแผ่นหลัง ขยับแขนและเหยียดมือขึ้นข้างบนให้มากที่สุด (ภาพ 96) หายใจออก
  3. หายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับยกแขนขวาชูขึ้นเหนือศีรษะ พับแขนท่อนล่างเข้าหาแผ่นหลัง หงายต้นแขนกลับหลังและเหยียดมือขวาเข้าใกล้มือซ้ายให้มากที่สุด หรือจนนิ้วมือสัมผัสกัน หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  4. หายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับเลื่อนมือเข้าหากันมากขึ้น งอนิ้วมือทั้งสองข้างเกี่ยวกระชับกันให้แน่นที่สุด (ภาพ 97, 98) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ 3-5 รอบ
  5. ปฏิบัติย้อนลำดับแล้วผ่อนคลาย
  6. ปฏิบัติเช่นเดียวกันจากข้อ 2-5 โดยไพล่แขนขวากลับหลังเรื่อยมา จนอยู่ในท่า ใช้เวลาในอาสนะเท่า ๆ กัน

   

ภาพ 96                                             ภาพ 97

ภาพ 98

ผลดี

ช่วยให้ไหล่มีความยืดหยุ่นและแข็งแรง การที่หน้าอกยืดขยายให้การหายใจลึกเป็นไปได้โดยง่าย

 

7.5 ท่าแมว (มรรชราสนะ)

มรรชระ หมายถึงแมว ลักษณะการบริหารในท่านี้คล้ายแมวที่เหยียดและโค้งลำตัว

วิธีปฏิบัติ

  1. คุกเข่าลงกับพื้น ให้ระยะห่างระหว่างเข่าเท่ากับความกว้างของสะโพก ก้มตัวลงวางมือลงกับพื้น ให้ระยะห่างระหว่างมือเท่ากับความกว้างของช่วงไหล่ ให้ต้นขาและแขนทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้น (ภาพ 99)
  2. หายใจเข้า แอ่นลำตัวพร้อม ๆ กับเงยหน้าขึ้น ค่อย ๆ เหยียดกระดูกสันหลังทีละข้อ ๆ จากก้นกบเรื่อยมาจนถึงคอ (ภาพ 100)หายใจออก โค้งลำตัวพร้อม ๆ กับก้มศีรษะลง ค่อย ๆ งอกระดูกสันหลังทีละข้อ ๆ จากก้นกบถึงคอ (ภาพ 101)
  3. ปฏิบัติข้อ 2 และ 3 ซ้ำกัน 5-10 รอบแล้วผ่อนคลาย

  

ภาพ 99                                                   ภาพ 100

ภาพ 101

ผลดี

ทำให้กระดูกสันหลังมีความยืดหยุ่น ขจัดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่

 

7.6 ท่าศพ (ศวาสนะ)

ศวะ คือ ซากศพ ในท่านี้ร่างกายนอนทอดอยู่บนพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนซากศพ ในขณะที่จิตใจสงบนิ่งเช่นกัน

วิธีปฏิบัติ

  1. นอนหงายลงบนพื้น เท้าแยกออกจากกันพอประมาณ ปลายเท้าเบนออกจากลำตัว แขนแยกจากลำตัวเล็กน้อย หงายมือขึ้น ขยับลำตัวให้สมดุลไม่เอียงซ้ายหรือขวา ขยับคางเข้าใกล้ลำคอเล็กน้อย
  2. หายใจเข้าออกลึก ๆ 3-5 รอบ แล้วปิดตาลงเบา ๆ (ภาพ 102)
  3. เริ่มผ่อนคลายจากปลายเท้าโดยทำความรู้สึกว่าเท้ามีน้ำหนักวางทอดบนพื้นอย่างเป็นอิสระ เลื่อนความรู้สึกนี้ครอบคลุมเรื่อยขึ้นมาจากน่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ ลำคอ ศีรษะ หย่อนกรามลงโดยไม่เปิดปาก คลายใบหน้า ทำความรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกาย วางพักลงกับพื้นอย่างสงบ
  4. รู้สึกกับลมหายใจ ปล่อยให้การหายใจเป็นไปอย่างอิสระ เมื่อหายใจเข้าทำความรู้สึกว่าอากาศบริสุทธิ์และความสดชื่นแจ่มใสเข้ามาพร้อมกับลมหายใจ เมื่อหายใจออกทำความรู้สึกว่าความเหนื่อยล้า ความตึงเครียดต่าง ๆ ผ่านออกไปพร้อมกับลมหายใจ ดำรงความรู้สึกเช่นนี้ไว้อย่างต่อเนื่องประมาณ 10 นาที หรือเท่าที่ต้องการ
  5. คืนความรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อม ขยับเท้า ขา มือ และแขนเบา ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วพลิกฝ่ามือหงายขึ้น (ภาพ 103) เหยียดทุกส่วนของร่างกายรวมทั้งขมวดใบหน้าแล้วคลาย พลิกลำตัวไปอยู่ในท่านอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง ลืมตาแล้วลุกขึ้น

  

ภาพ 102                                                  ภาพ 103

ผลดี

ผ่อนคลายความตึงเครียดจากการปฏิบัติอาสนะต่าง ๆ จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ และอาการนอนไม่หลับ

 

วิธีฝึกหัดการบริหารกาย แบบโบราณ (โยคะ)

(แบบอาสนะ) มี 7 กลุ่ม

 

กลุ่มที่ 5 

ท่าบิดลำตัว มี 3 ท่า

       อาสนะในกลุ่มนี้ มีลักษณะการบริหารด้วยการบิดลำตัวไปทางด้านข้าง ซ้ายและขวา ทำให้กระดูกสันหลังมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต่างจากอาสนะในสองกลุ่มที่ผ่านมา เป็นการเสริมให้การบริหารกระดูกสันหลังเป็นไปอย่างครบถ้วน ผลดีร่วมกันของอาสนะในกลุ่มนี้คือ ทำให้กระดูกสันหลังแข็งแรง มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อหลังคลายความตึงเครียดจากการปฏิบัติอาสนะในกลุ่มอื่น ๆ นอกจากนี้อวัยวะภายในต่าง ๆ จะถูกบีบรัดและหย่อนคลายด้วยลักษณะของอาสนะ ทำให้อวัยวะเหล่านั้นมีขนาดที่เหมาะสม และทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5.1 ท่าบิดลำตัว 1 (ภรัทวาชาสนะ)

ภรัทวาช เป็นบิดาของโทรณะ ที่ปรึกษาทางทหารของทั้งฝ่ายเการพ และปาณฑพคู่สงครามในมหาภารตยุทธ

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งพับเพียบบนพื้นให้ขาขวาทับบนขาซ้าย เท้าขวาเหยียดไปข้างหลัง
  2. ไพล่แขนซ้ายกลับหลัง ใช้มือซ้ายจับต้นแขนขวาบริเวณเหนือข้อศอกขวา (ภาพ 59) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  3. หายใจออก พร้อมกับบิดลำตัวไปทางด้านซ้ายช้า ๆ จนมือขวาจับต้นขาซ้ายได้หายใจเข้า
  4. หายใจออก บิดลำตัวไปทางซ้ายต่อไป พร้อมกับหันศีรษะมาทางขวาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สายตาทอดมองหัวไหล่ขวา (ภาพ 60) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ 3-5 รอบ
  5. หายใจออก ปล่อยมือที่จับต้นขา หันลำตัวและศีรษะกลับมาอยู่ในท่าในข้อ 1
  6. ปฏิบัติซ้ำอีกครั้งด้วยการบิดลำตัวไปทางด้านขวา เริ่มจากนั่งพับเพียบให้ขาซ้ายทับบนขาขวา ไพล่แขนขวากลับหลัง ใช้มือขวาจับต้นแขนซ้าย บิดลำตัวไปทางขวา เรื่อยไปจนอยู่ในอาสนะที่สมบูรณ์ ใช้เวลาในอาสนะเท่า ๆ กัน

  

าพ 59                                              ภาพ 60

ผลดี

อาสนะนี้ทำให้กระดูกสันหลังมีความยืดหยุ่นแข็งแรง ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดสะโพก

 

5.2 ท่าบิดลำตัว 2 (วักราสนะ)

วักระ หมายถึง บิด หัน ท่านี้เป็นท่าบิดลำตัวอีกท่าหนึ่ง

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งบนพื้น ขาเหยียดตรงไปข้างหน้า (ภาพ 29)
  2. ยกเท้าขวาคร่อมข้ามขาซ้าย คว่ำฝ่าเท้าขวาลงข้างเข่าซ้าย เข่าขวาตั้งขึ้น (ภาพ 61)
  3. ยกแขนซ้ายคร่อมข้ามเข่าขวา ขัดต้นแขนกับเข่า เหยียดปลายแขนให้มือซ้ายจับที่หน้าแข้งซ้าย
  4. หายใจออก บิดลำตัวและศีรษะไปทางขวา วางมือขวาให้ปลายนิ้วชี้ออกจากลำตัว สายตาทอดมองที่ไหล่ขวา (ภาพ 62) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ 3-5 รอบ
  5. ปล่อยมือซ้าย หันลำตัว ยกเท้าขวาข้ามกลับมาอยู่ในท่าในข้อที่ 1
  6. ปฏิบัติซ้ำอีกครั้ง ด้วยการบิดลำตัวไปทางด้านซ้ายในลักษณะที่คล้ายคลึงกับข้อ 2-5 ใช้เวลาในอาสนะเท่า ๆ กัน

   

ภาพ 61                                      ภาพ 62

ผลดี

นอกจากจะช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดสะโพก และทำให้ลำคอแข็งแรงแล้ว ในอาสนะนี้อวัยวะภายในจะถูกบีบนวดด้วย จึงช่วยส่งเสริมการทำงานของอวัยวะเหล่านั้น

 

5.3 ท่าบิดลำตัว 3 (อรรธะ มัตสเยนทราสนะ)

มัสเยนทรา เป็นเทพในตำนานของฮินดู อรรธะ หมายถึง ครึ่ง ท่านี้เป็นท่าพลิกแพลงที่ง่ายลงซึ่งอุทิศแก่เทพยดาองค์นี้

วิธีปฏิบัติ

  1. นั่งบนพื้นขาเหยียดตรงไปข้างหน้า (ภาพ 29)
  2. งอพับขาซ้ายซ้อนใต้ขาขวา ให้ส้นเท้าซ้ายชิดลำตัว ยกเท้าขวาคร่อมข้ามขาซ้ายที่งอพับอยู่ ให้เท้าขวาวางคว่ำข้างต้นขาซ้าย เข่าขวาตั้งขึ้น (ภาพ 63)
  3. ยกแขนซ้ายคร่อมข้ามเข่าขวาให้ต้นแขนซ้ายขัดขาที่ตั้งขึ้น เหยียดแขนจนมือซ้ายจับที่เท้าขวาหรือนิ้วหัวแม่เท้า (ภาพ 64) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
  4. หายใจออกพร้อมกับบิดลำตัวและศีรษะไปทางขวา ไพล่แขนขวากลับหลังสายตาทอดมองที่ไหล่ขวา (ภาพ 65) หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ 3-5 รอบ
  5. ปล่อยมือที่จับเท้า หันลำตัวกลับมา เหยียดเท้าออกจนอยู่ในท่าในข้อที่ 1
  6. ปฏิบัติตามขั้นตอนในข้อที่ 2-5 โดยเปลี่ยนไปโดยบิดลำตัวไปทางด้านซ้าย จนอยู่ในอาสนะที่สมบูรณ์ ใช้เวลาเท่า ๆ กัน
  7. เมื่อปฏิบัติจนชำนาญดีแล้ว อาจนั่งบนส้นเท้าแทนการนั่งบนพื้น ซึ่งจะทำให้ผลดีของท่ามีมากขึ้น (ภาพ 66)

  

ภาพ 63                                        ภาพ 64

  

ภาพ 65                                         ภาพ 66

ผลดี

เช่นเดียวกับท่า 5.2 แต่จะเข้มข้นกว่า เพราะการบิดลำตัวเป็นไปได้มากกว่า

วิดีโอ

WatpaLA-Youtube

Copyright ©2554 วัดป่าธรรมชาติ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา